วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

การเลี้ยงลูกให้ฉลาด





30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

30 วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก



เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาด

 1.ตามองตา 
เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครู่ หนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

 2.พูดต่อสิลูก
เวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซ้ำ ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้ และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้

 3.ฉลาดเพราะนมแม่ 
ให้นมแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย

 4. ทำตลกใส่ลูก 
แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 2 วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่างง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ

 5.กระจกเงาวิเศษ 
ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมาทุกครั้ง

 6.จั๊กจี้ จั๊กจี้
การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น

 7.สองภาพที่แตกต่าง 
ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้ เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูกต่อไป

เด็กฉลาด

 8.ชมวิวด้วยกัน
พาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่น โอ้โหต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมให้ลูกฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก

 9.เสียงประหลาด 
ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆ เลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะพยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่

 10.ร้องเพลงแสนหรรษา 
สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงต่ำแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิศาสตร์ของลูก

11.มีค่ามากกว่าแค่อาบน้ำ
เวลาในการอาบน้ำสอวนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอนคำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว

 12.อุทิศตัวเป็นของเล่น 
ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้น และปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน

 13.พาลูกไปช็อปปิ้ง 
นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหาย ใบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือ สิ่งบันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ

การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาด

 14.ให้ลูกมีส่วนร่วม 
พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี่จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น

 15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจ
ช่วยให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่าลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือ แขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับช้า หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก

 16.ทิชชู่หรรษา 
ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั้นเป็นการฝึกประสาทสัมผัสและการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี

 17.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
การอ่านหนังสือช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมาว่า แม้กระทั่งเด็กอายุ 8 เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังซ้ำ 2-3 ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ

 18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋ 
การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก


สอนลูกให้เป็นคนเก่ง
 19.สัมผัสที่แตกต่าง 
หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไม้ หรือผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัสเป็นอย่างไร เช่น นี่จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น

 20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้าง
ให้เวลาประมาณ 5-10 นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้าน ไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะคลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง นี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก

 21.ทำอัลบั้มรูปครอบครัว
นำรูปภาพของญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู่ หรือคุณย่าโทรศัพท์มา ก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับที่ให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไปด้วย

 22.มื้ออาหารแสนสนุก 
เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว อย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิด ขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน

 23.เด็กชอบทิ้งของ 
บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือไม่

 24.กล่องมายากล
หากล่องหรือตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก


การเล่นส่งเสริมการเรียนรู้
25.สร้างอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ
กระตุ้นทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างไร

26.เลียนแบบลูกบ้าง
เด็กชอบให้พ่อแม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้ หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่ นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์

27.จับใบหน้าที่แปลกไป 
ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ

28.วางแผนคลานตามกัน 
ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้าง เร็วบ้างและหยุดหรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุดต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน

29.เส้นทางแห่งความรู้สึก
อุ้มลูกน้อยเดินไปทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น

30.เล่าเรื่องของลูก
เลือกนิทานเรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน

เรียนให้สนุกเล่นให้มีความรู้



ปัจจัยที่จะทำให้ทารกฉลาดอัจฉริยะ 

สร้างทารกให้เป็นอัจฉริยะได้อย่างไร

พ่อแม่ทุกคนต่างก็หวังอยากให้ลูกของตนเป็นเด็กอัจฉริยะ มีความฉลาดเฉลียว ไหวพริบดี ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ดี สามารถเรียนรู้ได้เร็วและสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ แต่เราจะทำให้ทารกที่คลอดออกมาเป็นเด็กอัจฉริยะได้อย่างไร ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้เราทราบว่า มี 3 ปัจจัยหลักที่หากเราสามารถเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มตั้งครรภ์ เด็กทารกที่คลอดออกมาก็จะมีคุณภาพที่ดีและมีโอกาสที่เด็กจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะตามที่คุณพ่อคุณแม่หวังเอาไว้ได้


พันธุกรรมจากพ่อแม่
1.พันธุกรรมจากพ่อและแม่
เด็กทารกเกิดจากการหล่อหลอมรวมกันระหว่างเซลล์ของฝ่ายพ่อและแม่ โดยเซลล์ประกอบไปด้วยโครโมโซม (Chromosome) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเส้น 2 เส้นที่เรียงตัวกันเป็นคู่ๆ เกาะกันแน่นเหมือนกับบันไดเวียน และบนเส้นโครโมโซมจะมียีนส์ ซึ่งยีนส์นี้มาจากการผสมระหว่างฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่อย่างละครึ่ง ยีนส์เป็นหน่วนควบคุมคุณภาพและลักษณะต่างๆ ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รูปร่าง ความสูง สีผิว ความฉลาด ฯลฯ ซึ่งยีนส์ในส่วนของอวัยวะสมองนี้เองที่ได้รับมาจากยีนส์ของพ่อและแม่อย่างละครึ่ง ซึ่งมีผลให้เด็กทารกเมื่อเติบโตขึ้นจะมีลักษณะคล้ายกับพ่อและแม่

พันธุกรรมจากพ่อและแม่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อคุณภาพของทารก เพราะว่าเด็กทารกจะฉลาดมากน้อยแค่ไหนยีนส์ที่ได้รับจากพ่อและแม่นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก นอกเหนือจากยีนส์ที่ได้รับจากพ่อและแม่แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่มีผลต่อเด็กทารก


อาหารที่มีประโยชน์
2.อาหารการกิน
อาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวันจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสารอาหาร ในปัจจุบันวงการแพทย์ให้การยอมรับแล้วว่า ถ้าทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้รับสารอาหารที่ดีและเหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายของทารกสามารถพัฒนาและเติบโตกลายเป็นเด็กอัจฉริยะได้เช่นกัน เพราะสารอาหารหลายชนิดมีผลในการสร้างร่างกายของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น โปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องใช้เพื่อเสริมสร้างขนาดและคุณภาพของสมอง หากทารกได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ร่างกายของเด็กก็จะสามารถพัฒนาสมองได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อสมองสมบูรณ์ก็จะทำให้การทำงานของสมองทำงานได้อย่างเต็มที่

สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญมากและสมองก็ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมากเช่นกัน หากคุณแม่ได้รับสารอาหารโปรตีนน้อยเกินไป เซลล์สมองของลูกในท้องก็จะมีขนาดเล็ก และทำให้ทารกที่คลอดออกมาระดับสติปัญญาต่ำกว่าเด็กคนอื่นๆ ได้ นอกจากโปรตีนแล้วยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น กลุ่มวิตามินต่างๆ ก็มีผลเช่นกัน เพราะวิตามินบางชนิดก็มีผลต่อระบบประสาทของทารก ดังนั้นอาหารที่คุณแม่ได้รับเข้าไปจึงมีผลอย่างมากต่อทารกในครรภ์


สภาพแวดล้อมที่ดีภายในบ้าน
3.สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมในที่นี้จะมีผลตั้งแต่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์เลยทีเดียว มีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุไว้ว่า หากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ต้องทนอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ทั้งเรื่องเสียงที่ดังเกินไป มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือทำให้คุณแม่มีอารมณ์หงุดหงิด หรือเครียด เด็กทารกจะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ด้วยเช่นกันส่งผลกระทบต่างๆ เช่น เมื่อทารกคลอดออกมาแล้วน้ำหนักตัวจะน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ, หรือต้องคลอดก่อนกำหนด, เด็กทารกจะตกใจง่าย เลี้ยงยากหรือร้องไห้เก่ง เป็นต้น

ถ้าอยากให้คลอดทารกออกมาเป็นเด็กอัจฉริยะต้องทำอย่างไร

จะเห็นได้ว่าพันธุกรรมจากพ่อและแม่เป็นเพียง 1 ใน 3 ปัจจัยเท่านั้นที่จะให้ลูกเป็นเด็กที่มีคุณภาพ เป็นเด็กอัจฉริยะ ปัจจัยอีก 2 ส่วนคือเรื่องอาหารการกินและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนสามารถกำหนดและแก้ไขได้ค่ะ ดังนั้นไม่ต้องนึกกังวลไปว่าพันธุกรรมของเราไม่ดีพอหรือเปล่า หลักในการปฏิบัติตนเองของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อย่างง่ายเช่น ทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ เน้นโปรตีนให้มากหน่อย อาจจะดื่มนมวันละ 3-4 แก้ว ไข่ไก่ 1 ฟอง รับประทานปลาให้มากๆ ผักผลไม้รวมถึงยาบำรุงที่ได้รับจากแพทย์ที่ฝากครรภ์ รวมถึงควรที่จะอยู่ในบริเวณที่ไม่มีเสียงดังรบกวน อากาศถ่ายเทได้ดี และรักษาอารมณ์ของตนให้แจ่มใสอยู่เสมอ เพียงแค่นี้ทารกในครรภ์ก็จะสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมที่จะเติบโตเป็นเด็กอัจฉริยะได้แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น